วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554
วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2554
วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2554
วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554
เครื่องมือวัดคุณภาพอุดมศึกษา...ป่วน งัดข้อ TQF จัดเกรดมหาวิทยาลัย
• ป่วนไม่เลิก จับตาเกณฑ์แบ่งเกรดมหาวิทยาลัย แบ่งชั้นวรรณะ ส่อแววแตกคอในอนาคต
• เรื่องยุ่ง - วุ่นไม่เลิก ในแวดวงอุดมศึกษา เกิดจากสกอ. หรือใครเป็นต้นเหตุ• แย่งกิน - แย่งหา - แย่งใช้ 3 ต้นตอ พาการศึกษาดิ่งลงเหว
• กรอบ TQF สร้างปัญหา หรือให้โอกาส
ถือเป็นหน่วยงานการศึกษาที่มักตกเป็นข่าวคราว (ในด้านที่ไม่ค่อยดี) อยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็น การประท้วงของนักศึกษาและคณาจารย์ของวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล จากนั้นมาก็เป็นเรื่องที่นักศึกษาจากคณะศึกษาศาสตร์ และคณะการสื่อสารมวลชน จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ประท้วงขับไล่ และถอดถอนคณบดี ซึ่งหนึ่งในหัวข้อการขับไล่นั้นก็คือ “ไม่ผ่านการประเมินคุณภาพการศึกษา”
ล่าสุดเมื่อต้นเดือนกันยานที่ผ่านมา มีตัวแทนคณาจารย์คณะสังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์จากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศประมาณ 10 คน เดินทางมายื่นรายชื่อคณาจารย์กว่า 700 คน ที่ร่วมลงชื่อแสดงความไม่เห็นด้วย และขอให้ยกเลิกประกาศกระทรวงศึกษาธิการเรื่อง กรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ : มคอ (TQF : THAILAND QUALIFICATION FRAMEWORK) พ.ศ. 2552 ต่อ วรรัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โดยมี สุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ร่วมรับฟัง (อ่านล้อมกรอบ...600 คณาจารย์จี้เลิก TQF ขาดความน่าเชื่อถือ-คุกคามวิชาการ)
นี่เฉพาะในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาเท่านั้น ยังไม่นับรวมหลายต่อหลายเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ (อ่านล้อมกรอบ...เสนอ กกอ.-สกอ.ทบทวนบทบาทหน้าที่ สร้างมาตรฐาน+ควบคุมคุณภาพการศึกษา)
ไม่ต้องบอกก็คงพอจะรู้แล้วว่าเป็นหน่วยงานไหน
คู่กรณีของเรื่องทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ก็คือ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) และคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ในฐานะต้นคิด ผู้กำกับดูแล และควบคุม
เชื่อหรือไม่ว่าปัญหาที่โถมเข้าใส่หน่วยงานแห่งนี้จะยิ่งมากขึ้น-มากขึ้น หากยังคิดและทำดังเช่นปัจจุบัน
นักวิชาการบางคนอธิบายให้ “ผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์” ฟังถึงปรากฏการณ์หนึ่งที่สร้างปัญหาให้วงการศึกษาบ้านเราหนักขึ้น และมากขึ้นก็คือ การให้ผู้ที่ไม่มีความรู้มาชี้นำการศึกษา การขาดแคลนบุคลากรทั้งในแง่คุณภาพและปริมาณ การเล่นพรรคเล่นพวก ด้วยการเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ หรือเอื้อประโยชน์ให้บางมหาวิทยาลัยที่ผู้บริหารหลักสูตร หรือผู้บริหารมหาวิทยาลัย เป็นญาติ เป็นเพื่อน หรือคนคุ้นเคย ด้วยการปล่อยหลักสูตรที่ไม่ได้มาตรฐานให้สามารถเรียน สอน และได้รับใบปริญญาแบบเลยตามเลย แม้จะรู้ทั้งรู้อยู่เต็มอกก็ตาม
“เราขาดคนชี้นำที่เป็นคนมีความรู้ความเข้าใจ ต้องตอบโจทย์สังคม สังคมต้องการบัณฑิตที่ดีมีคุณภาพ เพื่อออกไปสร้างงานดีๆ ให้สังคม แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางการศึกษา ทำอย่างนี้กันมากน้อยแค่ไหน สังคมต้องทบทวน” เป็นวาทะร้อนๆ ของ สุกรี เจริญสุข คณบดีวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ที่สาดเข้าใส่ สกอ. โครมใหญ่ (อ่านล้อมกรอบ ดุริยางคศิลป์ มหิดล ปัญหาแค่ “ชื่อปริญญา”)
แต่ประเด็นสำคัญที่สุดอันนำมาซึ่งปัญหาก็คือ การนำ “วิชาการ” ผลิตเข้าสู่ตลาด “ทุนนิยม”มากกว่าที่จะเป็นการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพของบัณฑิตเหมือนเคย
“ในฐานะนักวิชาการ การมองเช่นนี้ผิด ค่านิยมที่ตีราคาการศึกษาเป็นเงิน ต้องคิดใหม่ อย่าเอาทุนนิยมมาจับกับการศึกษา อย่าเอาการศึกษามาเป็นธุรกิจ พอทำแบบนี้วงการวิชาการเลวร้ายหมดเลย” สมเดช รุ่งศรีสวัสดิ์ คณบดีคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา อธิบายให้ฟัง
แบ่งเกรดมหาวิทยาลัย
ต้นตอความแตกแยก
แม้ว่าคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) และสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) จะคลอดเกณฑ์ประเมินคุณภาพภายนอกมายังมหาวิทยาลัยต่างๆ และให้มหาวิทยาลัยเลือกว่าอยู่ในกลุ่มใดใน 4 กลุ่ม คือ มหาวิทยาลัยวิจัย มหาวิทยาลัยผลิตบัณฑิต มหาวิทยาลัยชุมชน และมหาวิทยาลัยเฉพาะทาง เพื่อจัดอันดับสถาบันอุดมศึกษา มาเมื่อหลายปีที่ผ่านมา
แต่เชื่อหรือไม่ว่าเกณฑ์ดังกล่าวอาจนำมาซึ่งความแตกแยกของสถาบันอุดมศึกษาอย่างคาดไม่ถึง
เห็นได้จากการประชุมที่จัดโดย สกอ.เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่พัทยา จ.ชลบุรี มีการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดคุยกันอย่างกว้างขวาง เนื่องจากเป็นแนวคิดที่มีหลายต่อหลายคนไม่เห็นด้วย เนื่องจากการจัดอันดับเป็นสถาบันแบบที่ กกอ. และ สมศ. ทำนั้น ไม่มีประเทศใดในโลกที่ทำกัน และเชื่อว่าหากทำขึ้นจริงจะก่อให้เกิดความแตกแยกในวงการการศึกษา
“การจัดของท่าน ท่านบอกเกรด ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยได้งบประมาณมหาศาล ดีเด่นน่ายกย่อง มหาวิทยาลัยเฉพาะทางดีอันดับสอง คนที่คิดอย่างนี้ใช้ไม่ได้ ทุกมหาวิทยาลัยต่างมีคุณค่า คุณเอาเงินมาเป็นตัวจับ มหาวิทยาลัยวิจัยได้เงินไปเยอะแยะ แต่มหาวิทยาลัยชุมชนได้เงินนิดนึง ทุกคนก็จะกระเสือกกระสนขึ้นมาเป็นมหาวิทยาลัยวิจัย มหาวิทยาลัยที่เป็นเฉพาะทางที่ทำไม่ได้ก็ต้องหลอกลวง ผู้บริหารก็จะใช้สารพัดวิธีเพื่อขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยวิจัย มหาวิทยาลัยก็เกิดความแตกแยกไม่ปรองดองเพราะคุณไปจัดชนชั้นวรรณะของระบบ”
นักวิชาการการศึกษา รายหนึ่งที่เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ด้วย เล่าให้ฟังว่า มาตรฐานดังกล่าวของ สกอ. กับ สมศ. ที่ต้องการประกันคุณภาพแล้วนำทุกมหาวิทยาลัยมาไว้ที่เดียวกันทั้งหมด ถือเป็นการแบ่งชนชั้นให้มหาวิทยาลัยเล็กๆ ตายกันหมด ถามว่า สกอ. กับ สมศ. จะวัดอย่างไร เช่นเรื่องการมีผลงานวิจัยพีพิมพ์นานาชาติ หากอีกที่หนึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเล็กๆ ที่เน้นการสอน แล้วไปเทียบกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แน่นอนว่ามหาวิทยาลัยเล็กๆ ไม่สามารถเทียบได้อยู่แล้ว
“ในที่สุดก็ไปดูถูกเหยียบย่ำมหาวิทยาลัยชั้นรอง จริงแล้วคุณต้องจับกลุ่มเลยว่า มหาวิทยาลัยนี้เป็นกลุ่มประเภทนี้ แล้วมาตรฐานที่จะมาจับก็ต้องต่างกัน เกณฑ์การตรวจสอบควบคุมก็ต้องต่างกัน แต่นี่สกอ.เอามารวมกันหมด มาตรฐานเดียวกัน ดังนั้น มหาวิทยาลัยบางแห่งก็ไม่มีทางได้โต ตรวจยังไงก็แพ้ ต้องยกเลิกระบบแรงก์ คุณไม่ต้องมาบอกว่ามหาวิทยาลัยไหนดีกว่ามหาวิทยาลัยไหน มันแตกต่างโดยหน้าที่ของมัน ราชภัฏเขาทำเพื่อท้องถิ่นชุมชน มหาวิทยาลัยคนจนคนยาก การศึกษาก็ระดับหนึ่ง จะมาให้เก่งเลอเลิศ ก็พื้นฐานของคนมันไม่ได้ ในสังคมจะให้คนทุกคนเหมือนกันได้อย่างไร อย่างวันนี้ สมศ.เข้ามา มหาวิทยาลัยเล็กๆ ตกเป็นแถว แล้วมหาวิทยาลัยพวกนี้ก็พยายามหลอกตัวเอง สร้างหลักฐานเท็จขึ้นมา เพื่อจะตะเกียกตะกายขึ้นไป เลยไปไม่รอด”
3 ย.ต้นตอปัญหา
ดึงอุดมศึกษาลงเหว
แม้ว่าหลายคนจะบอกว่าการรับแนวคิดเรื่องธุรกิจการศึกษามาจากตะวันตกเป็นเรื่องที่ไม่ผิด เนื่องจากในประเทศโลกเสรีหลายประเทศก็เป็นเช่นนี้
แต่คำถามตามมาก็คือ เหตุผลของการนำสถาบันการศึกษาของไทยออกระบบนั้นทำเพื่อใคร และเพื่ออะไร
ในมุมมองของนักวิชาการบางคน อธิบายว่า หากเราเชื่อมั่นในระบบทุนนิยมเสรี มหาวิทยาลัยที่ไม่มีคุณภาพจะตายลงไปเอง แต่ด้วยความเป็นจริงที่ว่าประเทศไทยเป็นสังคมที่มีคนขี้เกียจมาก แต่อยากได้ปริญญาง่ายๆ และเผอิญเป็นบุคคลมีฐานะ จึงใช้เงินเพื่อซื้อใบปริญญา ขณะที่มหาวิทยาลัยบางแห่ง โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยเปิดใหม่ที่ขาดแคลนงบประมาณก็อยากได้เงินเพราะต้องการอยู่รอด ต้องการเครือข่ายความสัมพันธ์กับนักการเมือง นักธุรกิจ พร้อมกับใช้บุคคลดังกล่าวเป็นตัวอ้างอิงถึงความนิยม และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับสถาบันของตนเอง
“แต่เรื่องที่น่าตลกก็คือสังคมบ้านเราดันยอมรับ และให้ความนับถือพวกที่ซื้อใบปริญญา มิหนำซ้ำบางคนแม้จะเป็นคนในแวดวงการศึกษาก็ไม่อาย และภูมิใจในใบปริญญากำมะลอของตนเอง” ดอกเตอร์จอมแฉ ขาประจำของ “ผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์” เล่าให้ฟัง
เมื่อการศึกษาออกนอกระบบทำให้มหาวิทยาลัยต้องวิ่งหาเงินเลี้ยงตัวเองตัวเป็นเกลียว มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงดี มีสินทรัพย์มากก็ถือว่าโชคดีที่ไม่ต้องเหนื่อยเหมือนรายอื่น แต่มหาวิทยาลัยที่ไม่เพียบพร้อมบริบูรณ์อย่างนั้นก็ต้องคิดสารพัดวิธีในการหาเงิน
และนี่จึงเป็นที่มาของการแย่งหา-แย่งกิน-แย่งใช้ ในวงการอุดมศึกษาบ้านเรา
เริ่มจาก “แย่งหา” กันก่อน
แต่ละปีมีนักเรียนที่จบชั้น ม.6 สมัครเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาราว 123,000 คน (ปี 2554 มีบุคคลเข้าสมัครศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา 123,260 คน) ที่สมัครเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาที่สมาคมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (สอท.) ดำเนินการคัดเลือกให้ รวม 94 สถาบัน จากสถิติพบว่าแต่ละปีจะมีจำนวนผู้สมัครเพิ่มขึ้นราว 10%
แม้ตัวเลขนักศึกษาจะเพิ่มสูงขึ้นทุกปี แต่สถานการณ์การแข่งขันของมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่มีอยู่กว่า 140 แห่งทั่วประเทศก็เพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน
สิ่งที่สะท้อนการแข่งขันได้เป็นอย่างดีดูได้จากการโหมโฆษณาของมหาวิทยาลัยต่างๆ ผ่านทางสื่อใหม่ และสื่อเก่า รวมถึงการใช้กลยุทธ์โปรโมชั่นทั้งแจกแท็บเลต หรือแจกคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก เพื่อชิงเด็กๆที่พลาดหวังจากการสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้มาที่มหาวิทยาลัยของตนให้มากที่สุด เนื่องจากจำนวนผู้เรียนจะเป็นตัวกำหนดความอยู่รอดของมหาวิทยาลัย
แต่ประเด็นสำคัญที่สุดอันมาซึ่งความน่าสงสัยในมาตรฐานการศึกษาก็คือ การออกไปเขตวิทยาเขตนอกพื้นที่ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ยอดนิยมของหลายมหาวิทยาลัย มิหนำซ้ำยังเปิดหลักสูตร และสาขาแปลกๆ เช่น สาขาวิชาธุรกิจการกีฬาและบันเทิง สาขาวิชาการเป็นเจ้าของธุรกิจสมัยใหม่ หลักสูตรวิศวกรรมเมคคาทรอนิกส์ หลักสูตรวิศวกรรมขนส่ง หลักสูตรผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม นัยว่าเพื่อรองรับกับความต้องการของตลาดและอุตสาหกรรมยุคใหม่
ยังไม่รวมถึงการเปิดหลักสูตรการเรียนการสอนทางออนไลน์ที่ผุดขึ้นดังดอกเห็ด
ทั้งหมดนี้หวังเพียงอย่างเดียวคือ “กวาด” เด็กๆ ให้เข้ามาอยู่สถาบันของตนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพียงเพื่อเก็บค่าหน่วยกิต และค่าบำรุงการศึกษาให้ได้มากๆ สิ่งที่น่าสนใจตามมาคือ แต่ละมหาวิทยาลัยนั้นมีอุปกรณ์การเรียนการสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณาจารย์ เพียงพอกับจำนวนนักศึกษาที่รับเข้ามาหรือไม่
หรือรับมาแล้วปล่อยทิ้งๆ ขว้างๆ ให้เด็ก และผู้ปกครอง หรือบริษัทห้างร้านที่ดันไปรับเด็กที่ไม่มีความรู้ความสามารถเข้าทำงานเป็นผู้รับกรรม
ไม่เพียงเฉพาะปริญญาตรีเท่านั้น แต่ปริญญาโท และปริญญาเอก ก็มีปัญหาเรื่องมาตรฐานการศึกษา เช่น จำนวนผู้เรียนที่มีมากกว่าอาจารย์ที่ดูแลวิทยานิพนธ์, การว่าจ้างทำวิทยานิพนธ์, เป็นดอกเตอร์แต่ไม่มีความรู้ความสามารถด้านภาษาอังกฤษ เป็นต้น
คนเหล่านี้เมื่อจบมาบางคนอาจไม่ได้ใช้ทำอะไร ขณะที่บางคนเอาไปเสริมวุฒิการศึกษาเพื่อให้ตนเองมีความก้าวหน้าในอาชีพการงาน หรือบางคนต้องการใช้อ้างเพื่อหวังเป็นอาจารย์ตามมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะกรณีหลัง ถามว่า เมื่อผู้สอนไม่มีความรู้ความสามารถแล้วจะเอาอะไรไปสอนผู้เรียน
ต่อมาเป็นเรื่องของการ “แย่งกิน-แย่งใช้”
ขติยา มหาสินธ์ แห่งหนังสือพิมพ์มติชน ได้ให้มุมมองว่า ปัญหาในแวดวงอุดมศึกษา ไม่ได้มีเฉพาะการหลอกลวงซื้อ-ขายปริญญาบัตรเท่านั้น แต่ยังมีเสียงสะท้อนจากภาคสังคมด้วยว่าคุณภาพการจัดการสอนของบางมหาวิทยาลัยไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพ ส่งผลให้คุณภาพของบัณฑิตมีแนวโน้มจะลดต่ำลงไปทุกปีๆ เนื่องจากมุ่งเปิดหลักสูตรพิเศษ, หลักสูตรนอกเวลาตลอดจน ศูนย์นอกที่ตั้งเพื่อหวังผลกำไร จนละเลยคุณภาพ กลายเป็น “ธุรกิจการศึกษา” สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้แก่ “อธิการบดี” ที่เป็นประธานโครงการหลักสูตร ตลอดจน “กรรมการสภามหาวิทยาลัย” ที่รับทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาโครงการหลักสูตร
ว่ากันว่ารายได้ของอธิการบดีบางคนมาจากการเป็นประธานโครงการหลักสูตรหรือศูนย์นอกที่ตั้งถึงเดือนละ 300,000 บาท ด้วยเหตุนี้เมื่อสถานประกอบออกมาวิพากษ์ว่าบัณฑิตที่จบออกไปไม่มีความรู้ความสามารถเพียงพอ มหาวิทยาลัย และสภามหาวิทยาลัย จึงตกเป็น "จำเลย" ของสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นอกจากนี้ ผลิตผลของมหาวิทยาลัยยังต้องเผชิญกับปัญหาตกงาน ทั้งที่สถานประกอบการและตลาดแรงงานขาดแคลนแรงงานหลายสาขา เป็นปัญหาที่สวนทางกัน เนื่องจากปัญหาส่วนหนึ่งมาจากการที่สภามหาวิทยาลัยมุ่งเปิดหลักสูตรที่ทำรายได้ให้แก่มหาวิทยาลัย จนละเลยที่จะคำนึงว่าเป็นสาขาที่ตลาดแรงงานต้องการหรือไม่
"มหาวิทยาลัยซึ่งควรเป็นมันสมองในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้แก่สังคม ไม่ควรมาสร้างปัญหาให้แก่สังคมเสียเอง ไม่ว่าจะเรื่องผลิตบัณฑิตที่ไม่ตรงกับสาขาขาดแคลน หรือการผลิตโดยไม่คำนึงถึงตลาดแรงงาน ล้วนกลายเป็นปัญหาที่สร้างภาระให้แก่สังคมโดยรวมทั้งสิ้น"
เมื่อดึงคนเข้ามามากแต่อาจารย์ผู้สอนไม่เพียงพอ หลายคนจึง “สนุก” กับการวิ่งรอกเพื่อไปสอนที่นู่นที่นี่ เนื่องจากค่าสอนของอาจารย์ระดับปริญญาเอกตกชั่วโมงละ 3,000 บาท ยิ่งเป็นผู้มีชื่อเสียงระดับศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ ที่เมื่อเอ่ยชื่อแล้วทุกคนในประเทศรู้จักกันดีจะตกหลักหมื่นเลยทีเดียว
แบ่งกันกิน แบ่งกันใช้ระหว่างผู้สอน แต่ผู้เรียนจะมีคุณภาพหรือไม่เป็นอีกเรื่อง
กรอบมาตรฐาน
ปัญหาหรือโอกาส
แม้ว่าจะมีความเคลื่อนไหวจากบรรดาคณาจารย์ถึงเรื่องการพัฒนากรอบคุณวุฒิชาติ ที่เชื่อว่าไม่สร้างสรรค์แต่เป็นตัวทำลายการศึกษา แต่ก็มีบางความคิดเห็นที่สนับสนุนกับการประกาศใช้ TQF หรือ มคอ.
มัทนา สานติวัตร อธิการบดี มหาวิทยาลัยกรุงเทพ กล่าวกับ “ผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์” ว่า มคอ. คือสิ่งหนึ่งที่ สกอ.วางไว้เป็นไกด์ไลน์ เนื่องจากแต่ละมหาวิทยาลัยมีความสามารถในการทำหลักสูตรแตกต่างกัน บางที่อาจจะเก่ง บางที่อาจต้องเรียนรู้ การมีกรอบทำให้ได้เข้าสู่มาตรฐาน ถามว่ามาตรฐานนี้สำคัญหรือไม่ สำคัญมาก เพราะจะเป็นตัวบ่งบอกถึงความมีคุณภาพ และเทียบเคียงได้กับนานาประเทศ
“นี่เป็นการทำให้หลักสูตรได้รับการยอมรับในระดับชาติ และนานาชาติ มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นหน้าที่ของ สกอ. ที่ต้องทำความเข้าใจ ถ้าสิ่งไหนเกินจำเป็น สกอ.ต้องพิจารณา แต่ของไทยต้องมีกรอบมาตรฐานระดับชาติ เพราะมิเช่นนั้นต้องใช้กรอบของนานาชาติมาจับ อันนี้สำคัญมาก เมื่อเทียบกับต่างประเทศ เมื่อเราส่งคนไปเรียน หรือเขามาเรียนกับเรา เทียบโอนกลับไปหน่วยกิตซึ่งกันและกัน หากไม่มีมันจะลำบากมากในการเทียบโอนหน่วยกิต เอาอะไรมาเป็นตัววัด เขาจะรับเพราะเรามีมาตรฐานที่เทียบเคียงและเท่ากับเขา อันนี้จะไปเชื่อมโยงกับอาเซียน เพราะทุกประเทศในอาเซียนมีกรอบกันทั้งนั้น หากไม่มีเราจะโดนบังคับโดยประเทศรอบข้าง เพราะในเวลาต่อไปมันจะเดินทางข้ามไปข้ามมา หากเขาไม่รับบุคลากรจากประเทศของเรา เราก็เสร็จแล้ว”
วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554
วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554
การบริการที่ดี
การบริการที่ดี เริ่มที่ “ใจ” ดังนั้นใครรักงานแล้ว การบริการก็เป็นเรื่องรองลงมา รอยยิ้ม น้ำคำ น้ำใจ จะต้องปรากฏในผู้บริการคนอื่นมีความสุข ยิ้มให้ ช่วยเหลือเผื่อแผ่ โอบอ้อมอารี วจีไพเราะ สงเคราะห์ผู้คน วางตนให้พอดี ในชีวิตของคุณ จงทำใจให้เต็มไปด้วยคำพูดที่ว่า “มีอะไรให้ผมช่วย” แทนคำพูดที่ว่า “คุณจะช่วยอะไรผม” การทำงานเป็นความสุข ใครทำงานแบบมีความทุกข์ใจฝืนใจ เชื่อเลยว่าไม่สามารถหาความสุขจากที่อื่น ๆ ได้ ความสุขเกิดจากการได้ทำงานเท่านั้นเป็นความสุขที่แท้จริง
การบริการที่ดีทุกวันนี้ เน้นไปที่บริการแบบครบวงจร One Stop Service เช่น เขามานั่งรอที่โต๊ะเดียวแล้วได้รับบริการเลย เช่น การเบิกเงิน ชพค. 50,000 บาท เจ้าหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องแล้วจ่ายเช็คได้เลย เพื่อให้ผู้มารับบริการพึงพอใจ (ผู้มารับบริการกำลังเศร้าโศก เพราะสูญเสียบิดามารดา สามี ภรรยา ) แล้วนำเสนอเรื่องต่อผู้บังคับบัญชาทีหลัง วิธีการนี้ต้องทำให้มาก ๆ ในหลาย ๆ เรื่องควรได้พิจารณา 5 อย่า ต่อไปนี้
การบริการที่ดีทุกวันนี้ เน้นไปที่บริการแบบครบวงจร One Stop Service เช่น เขามานั่งรอที่โต๊ะเดียวแล้วได้รับบริการเลย เช่น การเบิกเงิน ชพค. 50,000 บาท เจ้าหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องแล้วจ่ายเช็คได้เลย เพื่อให้ผู้มารับบริการพึงพอใจ (ผู้มารับบริการกำลังเศร้าโศก เพราะสูญเสียบิดามารดา สามี ภรรยา ) แล้วนำเสนอเรื่องต่อผู้บังคับบัญชาทีหลัง วิธีการนี้ต้องทำให้มาก ๆ ในหลาย ๆ เรื่องควรได้พิจารณา 5 อย่า ต่อไปนี้
วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2554
การพัฒนาการด้าน KM
การพัฒนาการด้าน KM ในหน่วยงานต่าง ๆ
คำถามที่ผมมักจะได้รับจากพวกที่ทำกิจกรรม ทำเวที KM มามากมาย ก็คือ . . .
“แล้วผมควรจะทำอะไรต่อ?”
จากการที่ได้มีโอกาสเห็น “พัฒนาการด้าน KM” ในหน่วยงานมากมาย ผมได้ลองนำมาจัดแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ คือ
กลุ่มที่แรก เป็นพวกที่ยัง “ทำ KM ตามรูปแบบ” ค่อนข้างมาก คือดำเนินไป “ตามกรอบ” ที่กำหนดทุกอย่าง เรียกได้ ว่า “ยึดเกณฑ์เป็นใหญ่” โดยไม่สนใจในบริบทของตนเองเท่าใดนัก มีเป้าหมายอยู่ที่การประเมินเท่านั้น ต้องการจะทำเพื่อให้ได้คะแนนประเมิน สูงๆ KM ของหน่วยงาน ประเภทนี้จะมีรูปแบบที่ค่อนข้างจะ “ตายตัว” เดินไปตามขั้น ตอนที่กำหนดทุกอย่าง เช่น มีการตั้งกรรมการ KM (อย่างเป็นทางการ) มีการวางแผน (ทั้งที่บางทีก็ยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำไป ว่าหลักการที่สำคัญของ KM คืออะไร? ทำไปทำไม?) ให้ความสนใจทั้งหมดไปที่ "ตัวชี้วัด (KPI)" ลืมไปว่า KPI นั้น แท้จริงแล้วไม่ ต่างอะไรจาก “นิ้วที่ใช้ชี้ไปที่ดวงจันทร์” แต่หน่วยงานที่อยู่ในกลุ่มนี้ กลับเป็นพวกที่ให้ความสำคัญกับ นิ้วที่ใช้ชี้ แทนที่จะให้ความสำคัญกับ ดวงจันทร์ ด้วยเหตุดังกล่าวเรา จึงมักจะพบว่า “กิจกรรม” ต่างๆ ที่ทำไปนั้น เป็นเพียงการทำเพื่อให้เป็นไปตามแผน ที่เขียนไว้ ทุ่มเทไปกับการพิสูจน์ (ยืนยัน) เพื่อให้ผู้ประเมินได้เห็นว่า “ข้าได้ ทำทุกกิจกรรม ไม่ต่ำกว่า 80 % ตามที่ระบุไว้ในแผน” เพราะต้องการจะได้คะแนนสูงๆ เท่านั้น
กลุ่มที่สอง เป็นพวกที่ไม่ได้จับจ้องอยู่แค่ตรง “นิ้วที่ใช้ชี้” (หรือ KPI) เท่านั้น แต่ได้ให้ความสำคัญกับ “ดวงจันทร์” ด้วยเช่นกัน คือ ให้ความสนใจใน ผลงาน (ผลิตภัณฑ์และการบริการ) ให้ความสนใจที่ Performance (คุณภาพ ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล) เป็นพวกที่เข้าใจ หลักการแท้จริงของ KM รู้ว่าทำ (กิจกรรม) KM ไปทำไม? กล้าที่จะทำ อะไร ที่นอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ในแผน เป็นพวกที่รู้อยู่แก่ใจว่า การจัดการความรู้ จะสมบูรณ์ได้ จะต้องให้ความสำคัญกับความรู้ ทั้งที่อยู่ในรูป Explicit(ความรู้ที่ชัดแจ้ง) และ Tacit(ความรู้ที่อยู่ในตัวคน) ด้วยเหตุนี้คนกลุ่มนี้ื จึงให้ความสำคัญกับการแลก เปลี่ยนเรียนรู้ค่อนข้างมาก มีการจัด Workshop เพื่อฝึกคุณกิจ ให้เห็นประโยชน์ของ การแชร์ Tacit สอนให้เปิดใจ สอนให้มีทักษะในการฟัง มีทักษะในการทำ Dialogue มีการจัด Workshop คุณอำนวย (Facilitator) คุณเอื้อ (CKO ระดับต่างๆ) เพื่อสร้างความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของการเป็น คุณเอื้อ/ คุณอำนวย มีการจัดเวที Knowledge Sharing ขึ้นมากมาย เรียกได้ว่าเกิด “กิจกรรม KM” เต็มไปหมด แต่แล้วคำถามที่ผม มักจะได้รับ จากพวกที่ทำกิกรรม ทำเวที KM มามากมาย ก็คือ . . . “แล้วผมควรจะทำอะไรต่อ?” ซึ่งคำแนะนำที่ผมให้ ก็คือ . . . “ให้หันมาใช้ KM ในงาน (ในชีวิต) จริง ๆ ซะที !” และนี่ก็คือสิ่งที่พวกที่อยู่ในกลุ่มที่สามเขาทำกัน
กลุ่มที่สาม เป็นพวกที่ผ่าน(เวที) ผ่านการฝึกทักษะด้านต่างๆ มาบ้างพอสมควร เรียกได้ว่ามีประสบการณ์มาบ้างแล้ว ถึงจะเป็นประสบการณ์ผ่าน Workshop หรือเวที ที่จัดทำขึ้นมาก็ตาม แต่ก็สามารถสร้างความรู้ความเข้าใจได้ระดับหนึ่ง ทำให้ได้รู้ว่าการเปิดใจนั้นสำคัญเพียงใด รู้ว่าทำไมต้องใช้ Dialogue ในการพูดคุย ถูกฝึกให้ Recognize “Inner Voice” คือได้ยิน “เสียงที่อยู่ในหัวตัวเอง” ได้เรียนรู้เทคนิคต่างๆ นานา อาทิ เช่น การทำ AAR หรือที่เรียกเต็ม ๆ ว่า After Action Review ฟังไป ฟังมา ท่านอาจสงสัยว่า ที่พูดมาก็คือสิ่งที่กลุ่มสองทำ แล้วมันแตกต่างกับกลุ่มที่สามตรงไหน? . . . . ต่างกันตรงที่ พวกที่อยู่ในกลุ่มสามได้ "ก้าวข้าม" เรื่องการฝึกฝนไปแล้ว คือก้าวไปสู่การนำสิ่งที่ได้ ฝึกฝนไปใช้ในงาน (ชีวิต) จริง จนเกิดการเรียนรู้ (อย่างแท้จริง) การเรียนรู้ที่ได้จากการปฏิบัตินี้เป็นสิ่งที่มีพลังยิ่งกว่าการเรียนที่มาจาก Workshop หรือจากเวที (ที่จัดขึ้นมา) ซะอีก . . . เป็นการใช้ทักษะที่ฝึกฝนมาในการทำงาน เป็น KM ที่ “เนียนอยู่ในเนื้องาน” เป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน เป็น KM ที่สร้าง “พละ” หรือ “พลัง” ให้กับการทำงาน ให้กับชีวิต ไม่ใช่ KM ที่สร้าง “ภาระ” หรือทำให้รู้สึก “พะรุงพะรัง” อย่างที่หลายคนรู้สึก ผมว่าพวกที่อยู่ในกลุ่มนี้ ในที่สุดแล้วจะไม่ติดอยู่กับคำว่า KM . . ไม่ติดอยู่กับเรื่องตัวชี้วัด (KPI) . . ไม่ติดอยู่กับ “นิ้วที่ใช้ชี้ดวงจันทร์"
สาระน่ารู้นี้นำมาจากบทความของ ดร.ประพนธ์ ผาสุกยืด (สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม) http://gotoknow.org/blog/beyondkm/328281
ท่านสามารถดูรายละเอียด เอกสาร pdf และ video การจัดการความรู้ของ
ดร.ประพนธ์ ผาสุกยืด ได้ที่ website งานประกันคุณภาพฯของคณะ
ความเสี่ยง (Risk) คืออะไร
ความเสี่ยง (Risk) คืออะไร ความไม่แน่นอนว่าผลลัพธ์จะเกิดขึ้นตามที่ตั้งเป้าหมายไว้หรือไม่ การกระทำหรือเหตุการณ์ที่อาจจะมีผลบั่นทอนความสามารถขององค์กรที่
จะบรรลุเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ การกระทำหรือเหตุการณ์ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งโอกาส หรือสิ่งคุกคาม แนวโน้มหรือโอกาสที่จะเกิดความเสี่ยงและผลกระทบหากเหตุการณ์อุบัติ
ขึ้นจริง
การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) คืออะไร กระบวนการระบุหาความเสี่ยงที่สำคัญขององค์กร ประเมินผลกระทบของความเสี่ยง พัฒนาแนวทางการจัดการกับความเสี่ยงและนำไปปฏิบัติอย่างเป็นระบบ โดยมีการบูรณาการและเน้นความสอดคล้องระหว่างกลยุทธ์ บุคลากร กระบวนงานและเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มคุณค่าสูงสุดให้กับองค์กร กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการระบุหาและควบคุมความเสี่ยง ซึ่งมีผลกระทบต่อการบรรลุพันธกิจและเป้าประสงค์ขององค์กร
การบริหารความเสี่ยงเป็นหน้าที่ของใคร ทุกคนเกี่ยวข้องกับการบริหารความเสี่ยงในฐานะที่เป็นผู้ระบุว่ามีความเสี่ยงอะไรบ้าง
การบริหารความเสี่ยงเป็นหน้าที่ของใคร ทุกคนเกี่ยวข้องกับการบริหารความเสี่ยงในฐานะที่เป็นผู้ระบุว่ามีความเสี่ยงอะไรบ้าง
ในหน่วยงาน/โครงการหรืองานของตน ฝ่ายบริหารของหน่วยงาน เจ้าของหรือเจ้าภาพความเสี่ยง (Risk Owners) ผู้บังคับบัญชาของหน่วยงาน เจ้าของโครงการ/เจ้าของงาน ผู้ที่ไดรับมอบหมายเฉพาะ คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง (Risk Management and Review Committee)
เจ้าของ/เจ้าภาพความเสี่ยง (Risk Ownership) มีการตกลงและมอบหมายการเป็นเจ้าภาพความเสี่ยงอย่างเป็นทางการ อาจไม่ใช่คนที่รับผิดชอบการประเมินความเสี่ยงก็ได้ แต่ต้องเป็นคนที่สามารถ
เจ้าของ/เจ้าภาพความเสี่ยง (Risk Ownership) มีการตกลงและมอบหมายการเป็นเจ้าภาพความเสี่ยงอย่างเป็นทางการ อาจไม่ใช่คนที่รับผิดชอบการประเมินความเสี่ยงก็ได้ แต่ต้องเป็นคนที่สามารถ
ติดตามดูแลให้มีการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ต้องมีความชัดเจนว่าใครทำหน้าที่อะไร ใครเป็นผู้กำหนดนโยบายว่าส่วนงานจะรับความเสี่ยงได้แค่ไหน ใครรับผิดชอบการบริหารความเสี่ยงในแต่ละระดับ ใครรับผิดชอบแต่ละกระบวนการ/ขั้นตอนของการบริหารความเสี่ยง
ใครดูแลการนำมาตรการบริหารความเสี่ยงไปปฏิบัติ ใครดูแล กรณีที่เป็นความเสี่ยงร่วม (Interdependent risks)
ใครดูแลการนำมาตรการบริหารความเสี่ยงไปปฏิบัติ ใครดูแล กรณีที่เป็นความเสี่ยงร่วม (Interdependent risks)
โดย ดร. สุรพงษ์ มาลี สำนักงาน ก.พ.
"TQA" คืออะไร???
"TQA" คืออะไร??? TQA = Thailand Quality Award
แนวทางของ TQA คืออะไร : แนวทางของ TQA คำนึงถึงความยืดหยุ่นในการดำเนินการที่สอดคล้องและ
แนวทางของ TQA คืออะไร : แนวทางของ TQA คำนึงถึงความยืดหยุ่นในการดำเนินการที่สอดคล้องและ
ต่อเนื่องกันขององค์กร ทั้ง 7 หมวดดำเนินการได้แก่
หมวด 1 การนำองค์กร : ที่มุ่งเน้นไปถึงความเข้าใจของผู้นำองค์กรที่มุ่งสู่การเป็นเลิศในการบริหาร
หมวด 1 การนำองค์กร : ที่มุ่งเน้นไปถึงความเข้าใจของผู้นำองค์กรที่มุ่งสู่การเป็นเลิศในการบริหาร
จัดการองค์กร ซึ่งต้องเข้าใจวิสัยทัศน์และค่านิยมขององค์กร รวมทั้งการ
สื่อสารความเข้าใจให้มีการร่วมมือของทุกคนในองค์กร รวมทั้งการมีธรรมา
ภิบาลและความรับผิดชอบต่อสังคม
หมวด 2 การวางแผนเชิงกลยุทธ์ :
หมายถึง การจัดทำกลยุทธ์เพื่อการขับเคลื่อนองค์กรและกำหนดวัตถุประสงค์
หมวด 2 การวางแผนเชิงกลยุทธ์ :
หมายถึง การจัดทำกลยุทธ์เพื่อการขับเคลื่อนองค์กรและกำหนดวัตถุประสงค์
ที่ชัดเจน ตลอดจนการถ่ายทอดกลยุทธ์นั้นไปสู่ภาคปฏิบัติได้อย่างสอดคล้อง
หมวยด 3 การมุ่งเน้นลูกค้าและตลาด :
องค์กรต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับลูกค้าและความต้องการของลูกค้าอย่าง
องค์กรต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับลูกค้าและความต้องการของลูกค้าอย่าง
ถ่องแท้ ตอบสนองได้อย่างพึงพอใจ และมีความสัมพันธ์ที่ดี
หมวด 4 การวัด การวิเคราะห์ และการจัดการความรู้ :
เป็นกระบวนการวัดผลการดำเนินงานและทบทวนการดำเนินงาน รวมถึง
หมวด 4 การวัด การวิเคราะห์ และการจัดการความรู้ :
เป็นกระบวนการวัดผลการดำเนินงานและทบทวนการดำเนินงาน รวมถึง
การบริหารจัดการสารสนเทศ ความพร้อมใช้และเพียงพอในการนำ
เทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในองค์กร
หมวด 5 การมุ่งเน้นบุคลากร :
บุคลากร ถือเป็นทรัพยากรสำคัญที่องค์ต้องรักษาและเพิ่มคุณค่า การพัฒนา
หมวด 5 การมุ่งเน้นบุคลากร :
บุคลากร ถือเป็นทรัพยากรสำคัญที่องค์ต้องรักษาและเพิ่มคุณค่า การพัฒนา
บุคลากร จึงเป็นหน้าที่สำคัญที่องค์กต้องมุ่งสร้างความผูกพันซึ่งสอดคล้อง
กับคำขวัญหนึ่งของ ปณท ที่ยังคงยึดถือมานาน "รู้รัก สามัคคี"
หมวด 6 การจัดการกระบวนการ :
คือความเข้าใจในการจัดการและออกแบบระบบงานเพื่อให้เกิดความคล่องตัว
หมวด 6 การจัดการกระบวนการ :
คือความเข้าใจในการจัดการและออกแบบระบบงานเพื่อให้เกิดความคล่องตัว
และมีประสิทธิภาพในการดำเนินการ ตลอดจนต้องมีทบทวนและปรับปรุง
กระบวนการทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ยังคงมาตรฐานประสิทธิภาพและ
ประสิทธิผลการดำเนินงานขององค์กร อย่างยั่งยืน
หมวด 7 ผลลัพธ์ :
คือผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานด้านผลผลิต ด้านการมุ่งเน้น
หมวด 7 ผลลัพธ์ :
คือผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานด้านผลผลิต ด้านการมุ่งเน้น
ลูกค้า ด้านการเงินและตลาด ด้านการมุ่งเน้นบุคลากร ด้านประสิทธิผล
กระบวนการ และด้านการนำองค์กร
หน่วยงานที่เข้าระบบประเมินจะใช้เวลาเตรียมความพร้อมด้าน
ข้อมูลประมาณ 3 - 5 ปี ตามขั้นตอนที่กำหนด 11 ขั้นตอน ได้แก่
1. กำหนดขอบเขตของการประเมิน
2. กำหนดกลุ่มผู้ทำหน้าที่
3. กำหนดรูปแบบวิธีการ
4. จัดทำโครงร่างองค์กร
5. ฝึกประเมินตนเอง
6. จัดตั้งทีมงานประเมินในแต่ละหัวข้อ
7. ดำเนินการประเมินองค์กร
8. วิเคราะห์โอกาสในการปรับปรุงและจัดลำดับ
9. จัดทำแผนปรับปรุงแก้ไข
10. ประเมินและปรับปรุงกระบวนการ
11. สมัครเข้ารับการประเมิน
อ้างอิงจาก :วารสารไปรษณีย์ไทย
group=12&gblog=3
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)